เชิญติชมได้ที่เมล์นี้นะครับ

angel_memmory@hotmail.com

มีอะไรใหม่

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 8 ห้องขังเดี่ยวในนรก

พระเยซูคริสต์และดิฉันยืนอยู่บนโขดหิน ณ ที่แถวแรกของห้องขังเดี่ยว โขดหินนั้นมีความกว้างประมาณสี่ฟุต ดิฉันมองขึ้นไป และไกลเท่าที่ดิฉันจะสามารถมองเห็นได้ มีโขดหินอื่น ๆ เป็นวงกลมอยู่รอบสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกับดักขนาดยักษ์ ข้าง ๆ โขดหิน หรือบนเส้นทางเดิน มีห้องขังเดี่ยวซึ่งถูกขุดเข้าไปในโลก เหมือนห้องขังเดี่ยวสำหรับคุมขัง ห้องขังเดี่ยวเหล่านี้ทั้งหมดเรียงเป็นหนึ่งแถวโดยมีช่องที่สกปรกที่แยกจากกันเพียงสองฟุตเท่านั้น
พระเยซูคริสต์ตรัส “ห้องขังเดี่ยวนี้มีความสูงสิบเจ็ดไมล์ เริ่มต้นมาจากก้นของนรก ที่นี่ภายในห้องขังเดี่ยวเหล่านี้มีวิญญาณมากมายที่อยู่ในเวทมนต์คาถาหรือในความลึกลับ วิญญาณบางดวงเป็นพวกพ่อมด เป็นร่างทรง เป็นพวกพ่อค้ายาเสพติด เป็นพวกบูชารูปเคารพหรือเป็นพวกคนชั่วร้ายที่มีจิตใจคล้ายคลึงกัน พวกเขาเหล่านี้เป็นวิญญาณที่ได้ทำความเกลียดชังยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อพระเจ้า พวกเขามากมายได้มาอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายร้อยปี พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่ไม่สำนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่หลอกลวงผู้คนและนำผู้คนให้ห่างจากพระเจ้า วิญญาณเหล่านี้ได้กระทำการอันชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อพระเจ้าและต่อผู้คนของพระองค์ ความชั่วร้ายและความผิดบาปเป็นความรักและเป็นความหลงใหลของพวกเขา ”
ในขณะที่ดิฉันเดินตามพระเยซูไปรอบทางเดิน ดิฉันมองลงไปยังศูนย์กลางของนรก ซึ่ง ณ ที่นั้นมีความเป็นไปจำนวนมากที่สุดกำลังดำเนินอยู่ ที่ศูนย์กลางมีแสงสว่างสลัว ๆ อยู่ตลอดเวลา และดิฉันสามารถแยกแยะการเคลื่อนไหวของร่างมากมาย ไกลเท่าที่ดิฉันจะสามารถมองเห็นได้ เบื้องหน้าเราเป็นห้องขังเดี่ยว
ดิฉันคิดกับตัวเองว่าการทรมานในห้องขังเดี่ยวจะน่ากลัวยิ่งกว่าการทรมานในกับดักอย่างแน่นอน ทั้งหมดรอบ ๆ เรา ดิฉันได้ยินเสียงร้องครวญครางและเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ถูกลงโทษในห้องขังเดี่ยว ดิฉันเริ่มไม่สบายอย่างมาก ความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจของดิฉัน
พระเยซูคริสต์ตรัส “เราไม่ได้ให้เจ้าฟังเสียงร้องเหล่านั้นจนกระ ทั่งบัดนี้ ลูกเอ๋ย แต่ว่าบัดนี้เราต้องการให้เจ้าแสดงให้เห็นว่าซาตานมาขโมย ฆ่า และทำลายอย่างไร”
ณ ที่นี่ในนรกมีการทรมานที่แตกต่างกันสำหรับดวงวิญญาณที่แตกต่างกัน ซาตานดำเนินการทรมานนี้จนกระทั่งถึงวันแห่งการพิพากษา จนกว่าความตายและนรกจะถูกเหวี่ยงเข้าสู่ทะเลสาบ แห่งไฟ และทะเลสาบแห่งไฟจะมาถึงนรกเมื่อถึงเวลาอีกด้วย
ในขณะที่เราเดินไปตามโขดหิน เสียงนั้นดังยิ่งขึ้น เสียงร้องอย่างใหญ่หลวงดังมาจากภายในห้องขังเดี่ยว เมื่อดิฉันเดินใกล้ พระเยซู พระองค์หยุดตรงหน้าห้องขังเดี่ยวที่สาม แสงสว่างจ้าส่องสว่างอยู่ภายในห้องขังเดี่ยว นั้น ในห้องขังเดี่ยวมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังอยู่ในเก้าอี้โยก พลางโยกเก้าอี้และร้องไห้ราวกับว่าหัวใจของเธอแตกสลาย ดิฉันไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ว่าดิฉันตกตะลึงที่ได้พบว่าหญิงคนนี้เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง ๆ
ห้องขังเดี่ยวนั้นโล่งอย่างแท้จริงยกเว้นมีผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ในเก้าอี้โยก ผนังของห้องขังเดี่ยวถูกสร้างขึ้นมาจากดินเหนียวอ่อนและสกปรก ผสมกับดิน ประตูด้านหน้ามีระยะเท่ากับด้านหน้าทั้งหมดของห้องขังเดี่ยว มันถูกทำขึ้นมาจากโลหะสีดำ โดยมีแถบประตูที่ทำด้วยโลหะและล็อคไว้
เนื่องจากลูกกรงประตูวางห่างกัน พระเยซูและดิฉันเกือบจะมองเห็นภายในห้องขังเดี่ยวได้ทั้งหมด
สีผิวของหญิงชราเป็นสีเนื้อซีดผสมกับสีน้ำตาลอ่อน เธอกำลังโยกเก้าอี้โยกไปข้างหลังและไปข้างหน้า ในขณะที่เธอโยกเก้าอี้โยก น้ำตาได้ไหลลงมาจากแก้มของเธอ ดิฉันรู้จากการแสดงความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างที่สุดของเธอว่า เธอกำลังอยู่ในความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และกำลังทุกข์ทรมานจากการถูกทรมานบางประการที่ไม่เคยมีมาก่อน ดิฉันสงสัยว่าทำไมเธอถูกลงโทษ ด้วยอะไรที่ทำให้เธอถูกคุมขังอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นเอง ต่อหน้าต่อตาของดิฉัน ผู้หญิงคนนี้เริ่มต้นเปลี่ยนร่างแรกไปสู่ร่างของชายชรา คนหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นหญิงสาว มาเป็นหญิงวัยกลางคนและกลับมาเป็นสุภาพสตรีชรา ดังที่ดิฉันเห็นในครั้งแรก ในอาการตกตะลึง ดิฉันมองดูในขณะที่เธอเปลี่ยนร่างนี้มาจากร่างหนึ่งไปเป็นอีกร่างหนึ่ง
เมื่อเธอมองเห็นพระเยซูคริสต์ เธอร้องตะโกนลั่น ว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดมีเมตตาต่อดิฉัน ขอให้ดิฉันออกไปจากสถานที่แห่งการทรมานนี้เถิด” เธอยื่นมือมาข้างหน้าในเก้าอี้ และยื่นมือมาที่พระเยซู แต่ไม่สามารถยื่นมาถึงพระองค์ได้ การเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินต่อไป แม้กระทั่งเสื้อผ้าของเธอก็เปลี่ยน เพื่อที่เธอจะได้สวมเสื้อผ้าเป็นผู้ชาย และเป็นหญิงสาว เป็นหญิงวัยกลางคน และกลับมาเป็นหญิงชรา การเปลี่ยนแปลงนี้ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ดิฉันถามพระเยซูคริสต์ว่า “ทำไม พระองค์เจ้าข้า”
อีกครั้งหนึ่งที่เธอกรีดร้อง “โอ พระองค์เจ้าข้า ขอให้ดิฉันออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะกลับมา” คราวนี้เธอยืนอยู่ที่ด้านหน้าของห้องขังเดี่ยว จับลูกกรงด้วยการกำแน่น เธอพูด “ดิฉันรู้ว่าความรักของพระองค์เป็นความจริง ดิฉันรู้ว่าความรักของพระองค์เป็นความจริง ขอให้ดิฉันออกไป” ครั้นแล้วในขณะที่หญิงคนนี้ร้องออกมาอย่างน่าหวาดกลัว ดิฉันมองเห็นว่าบางสิ่งกำลังเริ่มต้นที่จะฉีกเอาเนื้อออกจากร่างของเธอ
“เธอไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏให้เห็น” พระเยซูคริสต์ตรัส
หญิงคนนี้นั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิมและเริ่มต้นโยก แต่ว่าในคราวนี้มีเพียงโครงกระดูกเท่านั้นที่กำลังนั่งอยู่ในเก้าอี้โยก เป็นโครงกระดูกที่มีหมอกบาง ๆ ที่สกปรกอยู่ภายใน ตรงจุดที่มีร่างกายที่มีเสื้อผ้าสวมใส่เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เท่านั้น บัดนี้กลับมีแต่กระดูกที่ถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำและมีเบ้าตาที่ว่างเปล่าสำหรับดวงตา วิญญาณของผู้หญิงคนนี้ครวญครางและร้องออกมาต่อพระเยซูคริสต์ในอาการสำนึกผิด แต่ว่าการร้องไห้ของเธอนั้นสายเกินไปเสียแล้ว
“เมื่ออยู่ในโลก” พระเยซูคริสต์ตรัส “หญิงคนนี้เป็นแม่มดและเป็นผู้บูชาซาตาน เธอไม่ใช่แต่เพียงทำการประกอบเวทมนต์คาถาเท่านั้น แต่เธอยังสอนเวทมนต์คาถาให้คนอื่นอีกด้วย จากตอนที่เธอเป็นเด็ก ครอบครัวของเธอประกอบมนต์ดำ พวกเขารักความมืดยิ่งกว่าความสว่าง”
“หลายครั้งทีเดียว” พระเยซูคริสต์ตรัส “เราได้เรียกให้เธอสำนึกผิด เธอเยาะเย้ยเราและพูดว่า “ดิฉัน ชื่นชมในการรับใช้ซาตาน ดิฉันจะทำการรับใช้ซาตานต่อไป” เธอปฏิเสธความจริงและไม่สำนึกผิดเกี่ยวกับความชั่วร้ายของเธอ เธอขับไล่ผู้คนมากมายให้ออกจากพระเจ้า บางคนเหล่านั้นกำลังอยู่ในนรกกับเธอในวันนี้ ถ้าหากว่าเธอสำนึกผิด เราก็อาจจะช่วยให้เธอและอีกหลายคนในครอบครัวของเธอรอด แต่ว่าเธอไม่ฟัง
“ซาตานหลอกลวงผู้หญิงคนนี้ให้เข้าสู่ความเชื่อว่าเธอจะหลอกลวงอาณาจักรของเธอเองในฐานะที่เป็นรางวัลสำหรับการรับใช้ซาตาน ซาตานบอกเธอว่าเธอจะไม่ตาย แต่จะมีชีวิตกับซาตานตลอดไป เธอได้ตายในการสรรเสริญซาตานและมาที่นี่และขอร้องซาตานเพื่อให้ได้อาณาจักรของเธอ ซาตาน บิดาแห่งการโกหก หัวเราะใส่หน้าเธอและพูดว่า “เจ้าคิดหรือว่าเราจะแบ่งอาณาจักรของเราให้กับเจ้า นี่คืออาณาจักรของเจ้า” และเขาขังเธอไว้ในห้องขังเดี่ยวนี้ และทรมานต่อทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน
“บนโลกหญิงผู้นี้สอนวิชามนต์ดำมากมาย ทั้งมนต์ดำสีขาวและมนต์ดำสีดำ เพื่อที่จะกระทำการอันมหัศจรรย์ของพวกเขา กลอุบายที่มหัศจรรย์ของเธออย่างหนึ่งก็คือการเปลี่ยนจากหญิงสาวมาเป็นหญิงวัยกลางคน มาเป็นหญิงวัยชรา แม้กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นชายชราคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่สนุกในวันเหล่านั้น ในการทำให้มีการเปลี่ยนแปลงและทำให้แม่มดระดับรอง ๆ ลงมาหวาดกลัวด้วยเวทมนต์คาถาของเธอ แต่บัดนี้เธอทุกข์ทรมาน จากความเจ็บปวดในนรก และเนื้อของเธอถูกเชือดไปในแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เธอไม่สามารถบังคับมันได้แล้ว ณ บัดนี้ และการเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินต่อไปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง แต่ว่ารูปแบบที่แท้จริงของเธอก็คือวิญญาณที่เป็นหมอกอยู่ภายในโครงกระดูกของเธอ ซาตานได้ใช้เธอเพื่อจุดประสงค์อันชั่วร้ายของมันและมันเยาะเย้ยและเหยียดหยามเธอ บ่อยมากทีเดียวที่เธอถูกนำกลับก่อนที่ซาตานจะทรมานเพื่อความสนุกสนานของมัน
“เราได้เรียกเธอนหลายครั้ง และเราอาจจะช่วยให้เธอรอด แต่ว่าเธอไม่มีเรา บัดนี้เธอวิงวอนและแก้ตัวเพื่อให้ได้รับการยกโทษ แต่ว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว บัดนี้เธอสูญเสียโดยปราศจากความหวัง”
ดิฉันมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่สูญเสียชั่วนิรันดร์กาลในความทรมานและในความเจ็บปวด แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงชั่วร้าย หัวใจของดิฉันก็แตกสลายด้วยความสงสาร “พระองค์เจ้าข้า ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ” ดิฉันพูดด้วยน้ำตา
และครั้นแล้ว ราวกับว่าพระเยซูคริสต์และดิฉันมิได้อยู่ที่นั่นเท่านั้นแหละ ปีศาจที่สกปรก สีน้ำตาลที่มีปีกหัก ที่มีขนาดเท่ากันกับขนาดของหมีตัวใหญ่ ได้มายังด้านหน้าของห้องขังเดี่ยวของเธอ และเปิดห้องขังเดี่ยวนั้นด้วยกุญแจ มันส่งเสียงดังราวกับว่าเป็นการขู่ขวัญเธอให้กลัว หญิงคนนี้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอย่างน่าสงสารในขณะที่มันเริ่มต้นจู่โจมเธอและดันเธอออกมาจากห้องขังเดี่ยว
พระเยซูคริสต์ตรัส “ ปีศาจตนนี้ทรมานเธอบ่อยทีเดียว” ดิฉันเฝ้ามองดูในขณะที่เธอถูกลากออกมาจากห้องขังเดี่ยวและถูกนำไป
“พระเจ้าที่รัก” ดิฉันถาม “ไม่มีอะไรที่เราจะสามารถทำได้เลยหรือนี่” ดิฉันรู้สึกสงสารเธอเหลือเกิน
“มันสายเกินไป” พระเยซูคริสต์ตอบ “มันสายเกินไป”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น